วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ครู คือใครในวันนี้

กลอนวันครู
ใครคือครูครูคือใครในวันนี้
ใช่อยู่ที่ปริญญามหาศาล
ใช่อยู่ที่เรียกว่าครูอาจารย์
ใช่อยู่นานสอนนานในโรงเรียน

ครูคือผู้ชี้นำทางความคิด
ให้รู้ถูกรู้ผิดคิดอ่านเขียน
ให้รู้ทุกข์รู้ยากรู้พากเพียร
ให้รู้เปลี่ยนแปลงสู้รู้สร้างงาน

ครูคือผู้ยกระดับวิญญาณมนุษย์
ให้สูงสุดกว่าสัตว์เดรัจฉาน
ครูคือผู้สั่งสมอุดมการณ์
มีดวงมานเพื่อมวลชนใช่ตนเอง

ครูจึงเป็นนักสร้างผู้ใหญ่ยิ่ง
สร้างคนจริงสร้างคนกล้าสร้างคนเก่ง
สร้างคนให้ได้เป็นตัวของตัวเอง

เพลงเพื่อมวลชน

4 คำกล่าวของครู

posted on 27 Oct 2009 18:29 by lilinjang
1.ความจริงครูก็ไม่ได้อยากจะมาเป็นครูเท่าไรหรอกนะ ถ้าสอบติดแพทย์ ติดวิศวะ ครูก็ไม่มาดักดานอยู่อย่างนี้หรอก
เพราะมันทำให้หนูรู้สึกว่า...
ครูเป็นแค่เศษเหลือๆของการศึกษา
ครูเป็นแค่นักเรียนปลายแถวที่ไม่มีปัญญาสอบเข้า
และเมื่อครูเป็นแค่เศษเหลือๆ
แล้วนักเรียนอย่างหนูจะเป็นอะไรล่ะคะ
ถ้าครูที่มีความสำคัญต่อนักเรียนอย่างยิ่ง เป็นแค่เศษเหลือๆ
นักเรียนอย่างหนู ไม่กลายเป็นเศษขยะไปเลยเหรอคะ
...
ไม่รู้ว่าครูที่พูดแบบนี้ ต้องการจะสื่ออะไร
ถ้าต้องการจะสื่อว่า
"เธอต้องตั้งใจเรียนให้มากๆนะ จะได้ไม่ต้องลำบาก"
ครูช่วยยกตัวอย่างอื่นได้ไหมคะ
เพราะครูยกตัวอย่างแบบนี้
มันไม่ได้ทำให้หนูรู้สึกอยากเรียนหนังสือเลย
มันทำให้หนูรู้สึกเหมือนเศษดินที่ไร้ค่า
ที่ต้องมาเรียนหนังสือกับเศษเหลือๆของการศึกษา
...
หรือครูต้องการจะสื่อว่า
ครูไม่อยากทำงานนี้เลย
ครูก็ช่วยลาออกไปเถอะค่ะ
อย่ามาบ่นให้หนูฟังเลย
ถ้าครูไม่อยากสอน
แล้วหนูจะมีแก่ใจเรียนหนังสือหรือคะ
 
2.นี่ ทำไมเธอไม่เรียนหมอล่ะ ทำไมไม่เรียนวิศวะล่ะ
ประโยคนี้พูดได้ค่ะ ถ้าคิดว่ามันสมเหตุสมผล
ถ้าเห็นว่านักเรียนคนนี้มีความรู้ความสามารถด้านนี้ รักด้านนี้ ชอบด้านนี้
แต่อย่าพูดเลยนะคะ
อย่าพูดประโยคนี้หลังจากที่หนูพึ่งบอกครูว่า
"หนูอยากเป็นนักเขียนค่ะ"
ได้โปรดอย่าถามหนูว่า
"อ้าว ทำไมไม่เรียนหมอล่ะ อย่างเธอน่าจะไปได้ดีนะ"
และอย่าให้เหตุผลว่า
"เป็นหมอ เป็นวิศวะน่ะดีจะตาย งานก็ดี เงินก็เยอะ"
ขอโทษนะคะ
หนูจะเป็นนักเขียน หนูจะเรียนสายศิลป์
หนูจะทำงานที่หนูรัก
ไม่ใช่ทำเพื่อ เงิน
(และหนูก็สงสัยอยู่บ่อยๆว่าหมอ มันเงินดีจริงๆเร้อ)
...
คุณครูขา
เวลาแนะแนว
อย่าเลยนะคะ อย่าเลย
อย่าแนะนำนักเรียนว่า
"เอ้าเธอ เรียนทางนี้ๆสิ เรียนง่าย จ่ายน้อย จบเร็ว เงินดี"
เพราะหนูไม่ได้เรียนเพื่อทำงาน หนูเรียนเพื่อรู้
เพราะหนูไม่ได้เรียนเพื่อเงิน หนูเรียนเพื่อสิ่งที่หนูรัก
 
3.อ่ะ เอาเงินครูไป 500 แล้วเธอต้องมาทำงานให้ครูนะ
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนของหนูค่ะคุณครู
ช่วงปิดเทอม เพื่อนของหนูไปช่วยครูพิมพ์งาน
แล้วครูก็ให้เงินมา 500 บาท
"อ่ะ เอาไปเป็นค่ารถ ค่าขนมนะ"
เพื่อนของหนูพยายามปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็ต้องรับมา
วันต่อมา
ครู : นี่ มาช่วยครูพิมพ์งานหน่อยสิ
เพื่อน : ไม่ได้อ่ะอาจารย์ วันนี้มีซ้อมกีฬา ซ้อมละครด้วย
ครู : ไม่ได้ เธอเอาเงินครูไปแล้วนะ ต่อไปครูเรียกเมื่อไร เธอก็ต้องมา
...
เพื่อนของหนูเป็นนักกีฬานะคะ
เธอเล่นกีฬามาหลายปีแล้ว
ก่อนที่ครูจะรู้จักกับเธอเสียอีก
แล้วละครที่เธอต้องรับผิดชอบ
ก็เป็นละครที่ทุ่มเททำมากว่าเดือน
เสียเงิน เสียเวลา มาซ้อมละครช่วงปิดเทอม
ครูจะเอาเงิน 500 มาแลกกับสิ่งที่เธอทุ่มเทไปได้ยังคะ
...
ครู : นี่ เย็นนี้ไปช่วยพิมพ์งานให้ครูหน่อยสิ
เพื่อน : ไม่ได้อาจารย์ วันนี้ต้องซ้อมละคร
ครู : ช่างละครเธอสิ งานครูต้องส่งพรุ่งนี้
เพื่อน : ละครก็ต้องแสดงพรุ่งนี้
ครู : เรื่องของเธอ
...
คุณครูขา เงิน 500
ซื้อค่าทำร้ายจิตใจคนไม่ได้นะคะ
คุณครูขา เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ
หนูไม่ใช่คนหน้าเงินเหมือนคนบางคนหรอกนะคะ
...
คุณครูขา ทำแบบนี้ คาดหวังอะไรเหรอคะ
ตั้งใจจะสอนอะไรหนูหรือเปล่า?
...จะสอนหนูว่า เงินซื้อได้ทุกอย่าง หรืออย่างไรคะ?...
 
4.เธอๆ ไปทำงานนี้มาให้ครูหน่อยสิ....โอ้ยๆอย่างนี้ไม่ได้ ไปแก้มาใหม่....โอ้ยๆอย่างนี้ไม่ได้ เธอไม่ต้องทำแล้วดีกว่า
คุณครูขา ได้โปรดอย่าทำแบบนี้เลยนะคะ
สั่งให้หนูไปทำงาน (ที่ไม่ได้เกี่ยวกับการเรียนใดๆทั้งสิ้น)
ปล่อยให้หนูทุ่มเทกับงานแทบตาย
แล้วสุดท้ายก็พูดสั้นๆง่ายๆว่า "ไม่เอา"
...
คุณครูคะ ครูให้งานหนูมาทำ
หนูก็ทำจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน
ทุ่มเทให้มันมากๆ ทั้งๆที่หนูก็ไม่ได้อะไรจากงานนี้
ถ้าหนูไม่รัก หนูไม่รับงานนี้มาหรอกนะคะ
แต่แล้วจู่ๆ ครูก็บอกว่า
"ไม่ต้องทำแล้ว"
แล้วเวลานับเดือนที่ผ่านมา
ที่หนูทุ่มเทจนต้องอดหลับอดนอน
มันเพื่ออะไรล่ะะคะ
....
เพื่อให้หนูได้เรียนรู้หรือ
ว่างานที่ครูสั่งมาแล้วมันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคะแนนน่ะ
ไม่ต้องไปรับผิดชอบมันก็ได้
งานของส่วนรวม ที่ทำแล้วไม่ได้ประโยชน์ส่วนตนน่ะ
ไม่ต้องไปทำมันหรอก
เพราะมันไร้ค่า
 
คุณครูขา
หนูมองโทรทัศน์
เห็นข่าวนักการเมืองฉ้อโกงมากมาย
แต่พอหนูย้อนกลับมาดูสิ่งที่ครูทำ
หนูกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจสักนิด
ที่มนุษย์คนหนึ่งจะเกิดมาชั่วขนาดนั้นได้
 
คุณครูขา หนูรู้วันนี้หนูเป็นเด็กไม่ดี
หนูรู้วันนี้หนูเป็นเด็กก้าวร้าวที่พูดจาหยาบคาย
แต่ทำไมหนูต้องพยายามรักษาน้ำใจของครูด้วยล่ะคะ
ในเมื่อครูไม่เคยคิดจะถนอมน้ำใจหนูเลย
ครูใช้งานหนูอย่างกับเครื่องจักร
กดเปิด กดปิด สั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ
ขนาดพ่อแม่หนู ยังไม่ทำกับหนูแบบนี้เลยนะคะ
พ่อแม่หนูไม่ใช่เงิน 500 ซื้อชีวิตของหนู
พ่อแม่หนูไม่ใช้งานจนอดหลับอดนอน
พ่อแม่หนูไม่พูดว่าไม่อยากมาเป็นพ่อแม่ของหนูเลย
...
คุณครูขา ความคิดมันอาจจะหยุดกันไม่ได้
แต่อย่างคำพูด มันก็ห้ามกันได้นะคะ
...

เพลงเทียว-เทียนหนึ่งถูกจุดที่นี้

ครูบ้านอก

ครูผู้ชี้ทางปัญญา

บทบาทของครู

ยุคนี้บทบาทของครูได้เปลี่ยนจาก "ผู้บอกวิชา" มาเป็น "ผู้ชี้ทางปัญญา"
ซึ่งนอกจากความรู้ด้านวิชาการแล้ว "ครู" ยังต้องศึกษา ติดตาม หาข้อมูล
จากแหล่งความรู้รอบตัว รอบด้าน เพื่อใช้อ้างอิง และนำมาชี้แนะให้ "เด็ก"
เกิดความอยากเรียนรู้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ให้เด็กได้ค้นพบสิ่งที่ตนเองสนใจ มาก
กว่าที่จะเรียนรู้ไปตามที่ครูเล่าบอกในวิชาตามหลักสูตรเท่านั้น
"เด็กสมัยใหม่" ต้อง "รู้รอบ" และ "รักการเรียนรู้"

ครูยังต้องมีหน้าที่เสริมฐานความรู้ของเด็กให้แข็งแรงเพียงพอที่จะก้าวเดิน
สู่โลกแห่งการเรียนรู้ เพื่อการนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตตนเอง กับครอบครัว
กับสังคม กับประเทศชาติ กับโลก วิธีการสอนจึงต้องเปลี่ยนจากที่เน้น
"การบอกเล่า" มาเป็นการ "ชี้แนะ" ด้วยการอธิบายเบื้องต้น ยกตัวอย่าง
ให้เด็กคิดและมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนสิ่งที่พวกเขารู้ ซึ่งอาจจะรู้มาจาก
การพูดคุยสอบถามกับ พ่อ แม่ ปู่ ยา ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา พี่ น้อง เพื่อน
คนข้างบ้าน พ่อค้า แม่ค้าตลาด คนกวาดถนน คนเก็บขยะ คนขายล็อตเตอรี่
คนขับรถเมล์ พนักงานในห้าง ฯลฯ มาจากการเล่าสู่กันฟัง หรือรู้เห็นด้วยตน
เองจากการอ่านหนังสือ ชมรายการโทรทัศน์ เคเบิ้ลทีวี ที่ให้สาระความรู้
แม้แต่จากอินเตอร์เน็ต สิ่งเหล่านั้นเป็นกิจกรรมที่เด็กจะต้องลงมือทำด้วย
ตนเอง (ส่วนผู้ปกครองที่ช่วยเด็กทำการบ้าน - แบบพ่อแม่ทำซะเอง นี่น่าที่จะโดนตำรวจจับ ข้อหา
"บั่นทอนกำลังของชาติ" เกี่ยวกับความมั่นคงเชียวนะคะ)

"การเรียน" ที่ถูกต้อง ไม่ได้จำกัดสถานที่ แลเวลา อยู่แต่ที่โรงเรียน หรือ
สถาบันการศึกษาเท่านั้น แต่เราสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ตราบใดที่
เราสนใจและตั้งใจอยากจะไขว่คว้าหาความรู้ บางครั้งคำตอบก็อยู่เพียงแค่
ปลายนิ้วสัมผัส เพียงแต่เรายังไม่ได้ค้นพบมันเท่านั้น

"ความรู้" จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าคนที่กำลังเรียนไม่ "คิด" ตามไปด้วย รู้หนึ่ง
แล้วยังมีสองให้รู้อีก คิดแล้วให้เกิดความ "สนใจ" ที่จะรู้ให้กว้างขึ้น ลึกขึ้น
รู้ถึงผลกระทบ ที่จะตามมา รู้ถึงว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าสิ่งนั้นยังเป็นเช่นนั้น หรือ
สิ่งนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร มีผลกระทบกันเราอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น
ครูนำเรื่อง "ปัญหาโลกร้อน" มาคุยกับเด็กในวิชาวิทยาศาสตร์ วิฃาภูมิศาสตร์
วิชาเรียงความ วิชาภาษาอังกฤษ ฯลฯ ให้เด็กเรียนรู้กฎของธรรมชาติ เรียนรู้
เรื่องภัยพิบัติจากธรรมชาติ เรียนรู้ที่จะคิดหาทางปกป้องอันตราย เรียนรู้ที่จะ
แก้ไขสิ่งที่ยังผิดพลาดอยู่ เรียนรู้ที่จะเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์
ส่วนรวม เรียนรู้ที่จะพัฒนาความคิดออกมาเป็นแนวทางปฏิบัติ เรียนรู้ที่จะทำ
โครงการที่เป็นรูปธรรม เรียนรู้ที่จะทำประโยชน์ให้กับสังคม เรียนรู้ที่จะทำงาน
ร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น

เพียงประเด็นเดียวที่ครูจับขึ้นมา สามารถสร้างเด็กเล็กๆ ให้กลายเป็นผู้ใหญ่
ทางความคิด ทางสังคม ขึ้นมาได้ ถ้าครูจะคอยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง คอยให้
คำแนะนำ ชี้ทางให้เด็ก ได้ใช้ความสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ตลอดจนถึง
กล่อมเกลาวิธีคิดให้มองสิ่งต่างๆอย่างมีมิติ กว้างไกล ลึกซึ้ง สอนให้เด็กรู้จัก
เลือก รู้จักจัดลำดับความสำคัญของงาน รู้จักรับผิดชอบ รู้จักสิทธิและหน้าที่
ของตนเมื่อต้องมาอยู่ในสังคมร่วมกัน ฯลฯ

บทบาทใหม่ของครู

การเตรียมการสอน และการรู้ในเรื่องที่จะสอนนั้น ถือเป็นหน้าที่และความรับ-
-ผิดชอบพื้นฐานของผู้ที่จะทำหน้าที่ครูอยู่แล้ว แต่ประตูสู่กระบวนการเรียนรู้
ของเด็กในปัจจุบันนั้น ต้องอาศัยครูเป็นผู้ไขกุญแจเปิดให้เด็กก้าวย่างออกไป
ด้วยขาที่แข็งแรง ให้เขากล้าทำสิ่งใหม่ๆ ให้เขารู้จักแบ่งแยกดีชั่ว ให้เขายึดมั่น
ในการทำความดีในขณะที่ก็ไม่เป็นคนอ่อนแอให้คนอื่นมาเอาเปรียบหรือหลอก
ลวงได้ง่ายๆ สิ่งที่ครูต้องปลูกฝังในตัวเด็กที่เป็นลูกศิษย์นั้น นับว่ามีคุณค่าต่อ
ชีวิตเยาวชนของชาติมากมายนัก ดังนั้น ครูจึงต้องเตรียมตัวเองให้เป็น "ผู้ตื่น"
"ผู้พร้อม" "ผู้รู้" เสียก่อน ไม่ว่าจะเรื่องเทคโนโลยี่ อินเตอร์เน็ต การใช้มัลติมีเดีย
ประกอบการสอน เรื่องแหล่งศึกษาหาความรู้ต่างๆ ครูต้องมีศิลปะในการจูงใจ
ในการมองเด็กและสามารถเข้าถึงจิตใจเด็ก เพื่อได้กระตุ้นและสนับสนุนเด็กให้
เข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ตลอดชีพได้อย่างสมความภาคภูมิ

บทบาทใหม่ของภาคเอกชน

อาชีพครูทุกวันนี้ ยังมีความลำบากอยู่มาก ทั้งที่เปนบุคคลสำคัญต่ออนาคตของ
ชาติ แต่กลับได้รับผลตอบแทนที่บางที่บางแห่ง อาจเรียกได้ว่า "ไม่คุ้มเหนื่อย"
แต่เพราะวิญญาณความเป็นครูให้ครูอดทนอยู่กับอาชีพนี้ตลอดมา สมัยนี้ การจะ
ให้ครูสักคนหนึ่งรอบรู้ไปทุกเรื่องคงเป็นไปได้ยาก มิหนำซ้ำ บางสาขาวิชาก็
ขาดแคลนครูที่จะสอน บางถิ่นที่ก็ไม่มีคนอาสาไปสอน ต้องอาศัยตำรวจ
ตระเวนชายแดนบ้าง ทหารบ้างช่วยสอนหนังสือ แล้วภาคเอกชนล่ะ ?

ในภาคเอกชน อุดมไปด้วยผู้เชียวชาญเฉพาะด้าน ผู้ชำนาญการด้านต่างๆ
ไม่ว่าจะเรียนจบมานาน ได้รับปริญญาหรือไม่ได้รับก็ตาม บุคลากรเหล่านี้
สามารถเข้ามามีส่วนในการพัฒนาองค์ความรู้ของเด็กๆได้
ถ้าโรงเรียนกับภาคเอกชน ให้ความร่วมมือที่ดีต่อกัน เด็กๆจะ
ได้รับความหลากหลายในการเรียนรู้ยิ่งขึ้น

อย่าลืมว่าผู้ปกครองของเด็กๆ รวมทั้งตัวเด็กๆเองก็เป็นลูกค้าที่อาจซื้อสินค้า
หรือบริการจากกิจการใดกิจการหนึงของเอกชน การจะตอบแทน
ลูกค้า ด้วยการดูแลให้ความรู้เสริมแก่ลูกหลานของลูกค้า
จะทำไม่ได้เชียวหรือ การทำคุณความดีให้แก่สังคม แม้จะต้อง
มีค่าใช้จ่าย ต้องเสียกำลังคนมาในระบบการสอน (ชั่วคราว)
บ้าง ก็คงไม่ทำให้กำไรหดหายไปเท่าไหร่ ยิ่งถ้าได้รับการสนับ-
-สนุนจากภาครัฐ ด้วยการช่วยลดภาษีให้ ก็น่าจะพิจารณา
ทำกันให้มาขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการโปรโมทแบรนด์ที่ดีอีก
ทางหนึ่ง สมัยนี้ การทำธุรกิจที่ไม่เผื่อแผ่ให้แก่สังคมบ้าง
เป็นเรื่องที่น่าละอายเป็นอย่างยิ่ง ส่วนการทำเอาหน้าหวัง
เอาประโยชน์โดยไม่ได้มีความจริงใจ หรือใส่ใจในผลที่จะเกิด
กับเด็กๆซึ่งเป็นอนาคตของชาติอย่างจริงใจนั้น ยิ่งน่ารังเกียจ
มาก(กว่า)

เมื่อก่อนเราเปรียบ ครูเสมือนเป็น "เรือจ้าง" เดี๋ยวนี้ก็ยังคงเป็นอยู่
แต่คงไม่ใช่เรือพายเสียแล้ว ต้อง "เป็นเรือสะเทิ้นน้ำสะเทิ้น
บกติดเทอร์โบ ติดเครื่องด้วยจิตสำนึกอันดี เดินเครื่อง
ด้วยแนวทางการพัฒนความฝันของแผ่นดินให้เป็นจริง
ขึ้นมา"

เพลงที่นี้ไม่มี ครู